อย่านอนใจแม้จะไม่มีอาการ
ถ้าความดันโลหิตสูงอย่างรวดเร็ว จะพบมีอาการปวดศีรษะ มึนศีรษะ ปวดท้ายทอย และบางครั้งมีเลือดกำเดาออกบ่อยๆ เมื่อมีอาการเหล่านี้ควรให้แพทย์ตรวจเช็คความดัน
แต่ถึงแม้จะไม่มีอาการดังกล่าว ก็สมควรที่จะตรวจเช็คร่างกายประจำปีโดยเฉพาะ เมื่อมีอายุเกิน 30 ปี ขึ้นไป
ผู้ที่พบว่ามีความดันโลหิตสูง ร้อยละ 55 ไม่รู้ตัวมาก่อน
จากรายงานทางระบาดวิทยาทั่วโลก และของประเทศไทยโดยแพทย์หญิงดวงมณี วิเศษกุล พบว่าเมื่ออายุมากขึ้นความดันโลหิตสูงขึ้น จากการสำรวจพนักงานธนาคารออมสิน ในปี พ.ศ. 2522 จำนวน 1,331 ราย พบว่าร้อยละ 7 มีความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะในชายพบมากกว่าในหญิง ผู้ที่พบว่ามีความดันโลหิตสูงร้อยละ 55 ไม่รู้ตัวมาก่อน และร้อยละ 76 ไม่ได้รับการรักษาเพียงพอ
จะเห็นได้ว่าในกรุงเทพซึ่งมีประชากรประมาณ 5,600,000 คน จะมีถึง 350,000 คน มีความดันโลหิตสูง และประมาณ 192,500 คนไม่รู้ตัว คุณเป็นคนหนึ่งหรือเปล่า ที่ไม่ทราบความดันโลหิตของคุณ !!!
คุณรู้จักความดันโลหิตของคุณไหม ?
ความดันโลหิต เป็นของคู่กับชีวิต ถ้าขาดความดันโลหิตเสียแล้ว ชีวิตก็ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ แต่ถ้าความดันโลหิตที่สูง ผลของความดันโลหิตสูงจะค่อยๆ บั่นทอนสุขภาพของคุณลงทีละน้อยๆ จนในที่สุดอาจทำให้คุณเป็นอัมพาต, เป็นโรคไตพิการ, โรคหัวใจ และโรคอันทรมานอื่นๆ ทำให้ชีวิตบั้นปลายของคุณขาดความสุขหมดความสนุก ต้องนอนจมกับความทุกข์ทรมารจนกระทั่งเสียชีวิต ดังนั้นความดันโลหิตสูงก็เปรียบเสมือนฆาตกรอำมหิตเลือดเย็นที่ค่อยๆ เพิ่มความทุกข์ทรมานแก่คุณ
ความดันโลหิตฆาตกรอำมหิตหรือมิตรคู่หัวใจ
ก่อนอื่นคุณสมควรจะทำความรู้จักกับความดันโลหิตของคุณว่า เป็นชนิดไหนกันแน่ คุณเคยให้แพทย์หรือพยาบาลวัดความดันของคุณหรือไม่ ถ้าเคยวัดคุณจะทราบว่าความดันของคุณเป็นตัวเลข 2 ชุด ที่แพทย์มักจะอ่านค่าตัวแรกและตัวหลัง
ความดัน ?../?..
ค่าของความดันโลหิต
ค่าของความดันโลหิตเป็นตัวเลข 2 ชุด ตัวเลขชุดแรกที่แพทย์หรือพยาบาล อ่านจะเป็นค่าของความดันซึ่งสูงสุดในขณะที่วัด โดยวัดค่าความดันที่เกิดขึ้นเมื่อหัวใจบีบตัว (Systolic Blood Pressure) ส่วนเลขชุดหลังเป็นค่าความดันที่วัดเมื่อลิ้นหัวใจปิดกั้นการไหลย้อนกลับของโลหิตในหลอดเลือดลงสู่หัวใจอีก เมื่อหัวใจคลายตัวก็จะดูดโลหิตจากห้องหัวใจที่สะสมโลหิตไว้ (Atrium) ให้เข้ามา เพื่อที่จะส่งต่อไปในการบีบตัวครั้งต่อไป
หัวใจจะเต้นเป็นจังหวะ โดยมีการบีบตัวและคลายตัวสลับกันไปอย่างสม่ำเสมอ
วัย |
ปี |
ความดันเมื่อหัวใจบีบตัว (mmHg) |
ความดันเมื่อหัวใจคลายตัว (mmHg) |
วัยเด็ก |
1-10 |
80-100 |
40-50 |
วัยรุ่น |
10-20 |
100-120 |
55-60 |
วัยเริ่มงาน |
20-30 |
100-130 |
60-65-70 |
วัยกลางคน |
30-50 |
100-130 |
65-70-75 |
วัยชรา |
50-70 |
100-150 |
70-75-80 |
70+ |
100-170 |
75-80-85 |
สำรวจความดันโลหิตของคุณว่าเป็นประเภทใด
หลังจากที่คุณทำความรู้จักกับความดันโลหิตของคุณแล้ว คุณก็สามารถที่จะมองให้ชัดว่า ความดันโลหิตของคุณนี้จะเป็นมิตรแท้ที่แสนดี หรือจะเป็นฆาตกรของคุณกันแน่
ถ้าค่าความดันของคุณเกินกว่าที่กำหนดเหรือเกินกว่า 90 (มิลลิเมตรปรอท) คุณเริ่มชักจะเห็นเค้าของผู้ร้ายว่าอำมหิตของคุณแล้ว แต่คุณยังโชคดีที่เห็นตัวก่อนที่ฆาตกรจะได้มีโอกาสทำร้ายคุณ
สรุปได้ว่า ความดันโลหิตของคุณแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1. ถ้าความดันโลหิตของคุณอยู่ในเกณฑ์ปกติ ก็เป็นมิตรคู่ใจของคุณ
2. ถ้าความดันโลหิตของคุณสูงกว่าปกติ ก็เป็นฆาตกรอำมหิตเลือดเย็น ที่วาเลือดเย็นเพราะคุณจะไม่มีอาการเจ็บป่วยแต่อย่างใดในระยะ 5-10 ปีแรก แต่อย่าผลีผลามในการตราหน้าเป็นผู้ร้าย คุณจะต้องวัดความดันโลหิต 3-4 ครั้งให้แน่ใจว่า เป็นฆาตกรจริงๆ เพราะบางครั้งมิตรของคุณก็อาจหน้าคล้ายฆาตกรขึ้นมา ถ้าคุณอยู่ในความเครียด ซึ่งมิตรของคุณย่อมจะเครียดไปด้วย ความดันจะสูงเพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อความเครียดลดลงก็จะกลับสู่ปกติ
การปฏิบัติต่อมิตรของท่าน
ถ้าคุณมีความดันโลหิตปกติ คุณจะเห็นว่าเขาเป็นมิตรที่ดีของคุณ คุณก็สมควรที่จะต้องมีน้ำใจต่อเขา สิ่งที่จะช่วยให้มิตรของคุณคงความดีตลอดไป มิตรคู่หัวใจของคุณชอบการควบคุม :-
1. มีน้ำหนักพอดี อย่ามากเกินไป
2. การออกำลังให้พอเหมาะพอดี ถูกวิธี และสม่ำเสมอ
3. ให้คุณทานอาหารมันแต่น้อยๆ และงดไขมันสัตว์ และลดอาหารเค็ม
4. ให้คุณผ่อนคลายความเครียด และหลีกเลี่ยงความเครียด
ระบบการควบคุมความดันโลหิต
![]() |
ความดัน เกิดจาการบีบตัวและคลายตัวของหัวใจ เปรียบเสมือนปั้มที่ปั้มส่งน้ำ
ความแรงของการบีบตัวและคลายตัว ถูกควบคุมโดยระบบประสาทอัตโนมัติจากสมอง โดยถ่ายทอดมาตามสายสื่อเช่นเดียวกับสายไฟฟ้า นั่นคือ เส้นประสาทและมีจุดรวมที่พักไฟฟ้าเป็นจุดๆ เรียกว่า Ganglion
นอกจากนี้ปัจจัยที่มีส่วนร่วมในค่าของความดัน คือ หลอดโลหิต และปริมาณโลหิต เพราะหลอดโลหิตเป็นตัวที่ทำให้เกิดแรงต้านทาน (Resistance) และปริมาณโลหิต (Volume)
ความดันก็เป็นไปตามกฎที่ว่า
V=IR | |
V=Volume | |
I=Current | |
R=Resistance |
ความดันโลหิตสูงระยะเริ่มต้นที่สูงเพียง 90-99 มม.ปรอท จะลดลงได้โดยไม่ต้องใช้ยาตลอดชีวิต |
มีหลักฐานแน่นอนว่า เมื่อน้ำหนักตัวลดลง 1 กิโลกรัม ความดันโลหิตจะลดลง 2.5/1.5 มม.ปรอท |
ค่าน้ำหนักที่ถูกต้องสัมพันธ์กับส่วนสูง ชาย ส่วนสูง (ซ.ม.) - 100 = กิโลกรัม หญิง ส่วนสูง (ซ.ม.) - 110 = กิโลกรัม ค่าแปรผันได้ + 10% ตามโครงสร้างกระดูก |
การออกกำลังกายและการฝึกการออกกำลังหัวใจลดความดันโลหิตได้ บุคคลที่มีการออกกำลังกายเป็นประจำหรือมีอาชีพที่จะต้องออกกำลัง จะพบว่ามีความดันโลหิตสูงน้อยมาก ในทางตรงข้ามบุคคลที่มีอาชีพที่ห่างเหินจากการออกกำลังกายพบว่า มีความดันโลหิตสูงในอัตราค่อนข้างสูง จากการตรวจเช็คร่างกายของพนักงานบริษัทของโรงพยาบาลเอกชนพบว่า ความดันโลหิตสูงพบบ่อยในพนักงานขับรถแท็กซี่ มากกว่าในตำแหน่งอื่นๆ การออกกำลังจะต้องทำให้พอเหมาะพอดี ถูกวิธี และสม่ำเสมอ เพราะผู้ที่มีความดันโลหิตสูงถ้าไม่ได้การฝึกออกกำลังกาย จะออกกำลังกายแรงๆ โดยทีเดียวจะพบว่าจะมีการเกร็งของหลอดเลือดมากขึ้นและทำให้ความดันโลหิตสูงมากขึ้น การออกกำลัง เช่น การวิ่งเหยาะ การขี่จักรยาน และการว่ายน้ำ ทำให้ชีพจรสูงขึ้นและเพิ่มปริมาณโลหิตที่สูบฉีดแต่ละครั้ง พร้อมทั้งเพิ่มความดันโลหิตเมื่อหัวใจบีบตัว (Systolil Blood Pressure) ส่วนความดันโลหิตเมื่อหัวใจคลายตัว (Diastolic Blood Pressure) ในคนที่ความดันปกติที่เป็นมิตรที่แสนดีมักจะลงเล็กน้อย แต่ในคนที่มีความดันโลหิตสูงขึ้นกว่าขณะพัก ทั้งนี้เพราะความต้านทานของหลอดเลือดส่วนนอก (Peripheral Vascular Resistance) ซึ่งมักจะสูงในคนที่มีความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุ (Essential Hypertension) ก็จะยิ่งสูงขึ้นอีกในเมื่อมีการออกกำลังกายรุนแรงทันที อย่างไรก็ตาม การออกกำลังกายโดยสม่ำเสมอ และถูกหลักเกณฑ์ ที่มี Physical conditioning Program พบว่ามักจะมีผลดีโดยให้ความดันโลหิตลดลงได้ Boyer พบว่าในเวลา 6 เดือน ความดันโลหิตลดลง 13/12 มม.ปรอท ในคนวัยกลางคนที่มีความดันสูง เมื่อได้รับการฝึกการออกกำลังหัวใจ สัปดาห์ละ 2 วัน ถึงแม้จะมีน้ำหนักลดเพียงเล็กน้อย Bonanno พบว่าในเวลาเพียง 3 เดือนความดันโลหิตของผู้ป่วยความดันโลหิตสูงจะลดลง 13/14 มม.ปรอท เมื่อได้ฝึกออกกำลังโดยการวิ่งเหยาะสัปดาห์ละ 3 วัน Roman ได้ทำการรักษาโดยให้ผู้ป่วยหญิงที่มีความดันสูงได้รับการฝึกออกกำลังสัปดาห์ละ 3 ครั้ง โดยให้ออกกำลังจนชีพจรอยู่ระหว่าง 70% ของอัตราชีพจรที่สามารถจะเป็นได้ (Maximual attainable heart rate) พบว่าในเวลา 3 เดือน ความดันลดลง 21/16 มม.ปรอท หลังจากนั้นก็หยุดออกกำลังไป 3 เดือน ความดันกลับสูงขึ้นตามเดิม การออกกำลังนี้จะต้องออกกันติดต่อไปเรื่อย และในการศึกษาครั้งนี้พบว่าใน 12 เดือน ที่ออกกำลังความดันก็สามารถลดลงอีก 20/80 มม.ปรอท ได้ แต่การกออกกำลังที่หนักเกินไป ทำให้ชีพจรสูงถึง 75-85% ของชีพจรสูงสุดนั้น กลับไม่ทำให้ความดันโลหิตลดลง | |||
อัตราชีพจรสูงสุดลดลงตามอายุโดยเฉลี่ยจะมีค่าเท่ากับ 220 - อายุ (ปี) การออกกำลังที่จะเหมาะสมกับการลดความดันโลหิต จะต้องเป็นการออกกำลังแบบอากาศนิยม (Aerobic Exercise) โดยมีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อชุดใหญ่ๆ อย่างมีจังหวะของการหดและการเกร็งที่สม่ำเสมอ และรวดเร็วพอสมควร ได้แก่ การเดินเร็ว การวิ่งเหยาะ การขี่จักรยาน การกระโดดเชือก และอื่นๆ
การออกกำลังโดยการเกร็งกล้ามเนื้อ เช่น การยกน้ำหนัก ไม่เป็นการบริหารหัวใจ เป็นเพียงบริหารกายเท่านั้น ขณะที่ร่างกายออกกำลัง พลังงานส่วนแรกใน 3 วินาทีแรก จะได้มาจากการเผาผลาญของพลังในกล้ามเนื้อชุดนั้นๆ และต่อมา จึงจะรับจากส่วนที่สะสมโดยไม่พึ่งออกซิเจนเป็นพลังงานชุดที่ 2 พลังงานชุด 1 และ 2 นี้จะหมดไปอย่างรวดเร็ว ภายใน 1-2 วินาที ถ้ายังมีการออกกำลังต่อไประบบพลังงานชุดที่ 3 จะเริ่มทำงานโดยต้องใช้ออกซิเจนเข้าร่วมด้วย ระบบที่ 3 นี้ เรียกว่า ระบบอากาศนิยม (Aerobic System) ซึ่งต้องอาศัยการทำงานของหัวใจและปอดร่วมด้วย ดังนั้นการบริหารหัวใจและปอด จำต้องออกกำลังกายต่อเนื่องกันถึง 3 นาทีก่อน จึงจะเริ่มมีการบริหารหัวใจ และจะต้องทำต่อเนื่องอย่างน้อยในระดับ 15-20 นาที ในระดับปานกลาง การออกกำลังหัวใจที่ช่วยให้ความดันลดต้องออกกำลังสม่ำเสมอและการออกกำลังในระดับปานกลาง (70% ของอัตราชีพจรสูงสุด) ในเวลา 20 นาที ระยะนี้เรียกว่า ระยะกระตุ้น (Stimulus และ Endurance) ท้ายสุด เพื่อความสุขในการออกกำลัง โดยไม่ต้องทรมานจากความปวดเมื่อยกล้ามเนื้อที่ตามมา จักต้องออกกำลังน้อยๆ (40-50%) ในระยะท้ายเป็นการเบาเครื่องผ่อนคลายกล้ามเนื้อให้กลับสู่ปกติ เรียกว่า ระยะ Cool down การบริหารนี้จะได้ผลเมื่อทำติดต่อกันทุกๆ วัน หรืออย่างน้อย สัปดาห์ละ 3-4 วัน
ออกกำลังให้พอเหมาะ คือ ออกกำลังในระยะกระตุ้น (Stimulus or Endurance) ประมาณ 20 นาที ออกกำลังให้พอดี คือ ระดับที่ชีพจรเต้นเท่ากับ 70% (ดูตารางอัตราชีพจรที่เหมาะสม) ออกกำลังถูกวิธี คือ ออกกำลังแบบอากาศนิยม โดยมีการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อชุดใหญ่เป็นจังหวะ ออกกำลังโดยสม่ำเสมอ คือ ทุกวันหรืออย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง |
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
อาหารและความดันโลหิต เกลือแร่ การรับประทานอาหารเค็มจัด ทำให้ความดันโลหิตสูงได้ ถ้าลดปริมาณเกลือในอาหารได้ จะช่วยทำให้ความดันลดลง และช่วยใช้ยาขับปัสสาวะ ซึ่งเป็นตัวขับน้ำและเกลือออกจากร่างกายน้อยลงด้วย บุคคลที่รับประทานอาหารแล้วเหยาะน้ำปลาทุกครั้งไป อาจจะรับประทานเกลือมากกว่า 10-20 gm(Nacl) จะลดปริมาณการบริโภคเกลือ ได้โดย
เกลือจำพวกโปแตสเซียม เป็นเกลือที่มีมากในผลไม้ทุกชนิด มีผู้ทำการทดลองว่า ผู้ที่รับประทานข้าวและผลไม้ จะมีความดันต่ำลงได้กว่าเดิม ทั้งนี้เพราะโปแตสเซียมในผลไม้ ช่วยลดความดันโลหิต ในทำนองเดียวกัน มีการสนับสนุนว่า ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง จะบริโภคแคลเซียมน้อยกว่าคนปกติ แต่การบริโภคแคลเซียมไม่ได้ลดความดันในทุกรายไป เหล้า สัมพันธ์กับความดันโลหิตสูง การดื่มเหล้ามากๆ ทำให้ความดันโลหิตสูง ทั้งนี้หมายถึง ผู้ที่ดื่มเหล้ามากกว่าวันละ 4-6 แก้ว ต่างจากผู้ดื่มเหล้าน้อย พวกที่ดื่มเหล้าน้อยกว่า 2 แก้ว (น้อยกว่า 10 ออนซ์ ต่อเดือน) มักจะมีความดันต่ำกว่าคนปกติเล็กน้อย กาแฟ ไม่มีผลต่อความดัน ถ้ารับประทานวันละน้อยกว่า 3 แก้ว กาแฟทำให้หายง่วง เพราะมี Cafeine ถ้าดื่มมากๆ อาจมีอาการใจสั่นได้เพราะกระตุ้นหัวใจ บุหรี่ เป็นศัตรูตัวร้ายเพราะช่วยเสริมความดันสูง เพราะสารนิโคตินทำให้ความดันโลหิตสูง มีผู้ทดลองสูบบุหรี่ 2 มวนติดกัน พบว่าความดันจะขึ้น 10/8 เป็นเวลา 15 นาที คนที่สูบบุหรี่จัดทั้งวัน ความดันจะสูงทั้งความดันบีบตัวและความดันคลายตัว ทั้ง 2 ค่า
Nicholson และคณะพบว่า พวกสูบบุหรี่จัดส่วนใหญ่เป็นโรคความดันที่เกิดจากไตพิการ เพราะเส้นเลือดเลี้ยงไตแข็ง และไต ก็จะเสื่อมไปเป็นพังพืด (Fibromuscular) มังสวิรัติ การบริโภคอาหารมังสวิรัติ และการลดไขมันสัตว์ ช่วยลดความดันได้เป็นอย่างดี และนอกจากจะลดความดันแล้วยังลดอัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจพิบัติอีกด้วย อาหารมันที่ควรหลีกเลี่ยง
ควรใช้น้ำมันพืชปรุงอาหาร น้ำมันพืชที่ดี ได้แก่ น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันเม็ดทานตะวัน น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด แม้น้ำมันปาล์มและน้ำมันมะพร้าว มีไขมันตัวทำลายมากกว่าไขมันผู้พิทักษ์ เมื่อเทียบกับน้ำมันพืชอย่างอื่น แต่ยังมีน้อยกว่าไขมันสัตว์ ในบ้านเราระยะนี้ก็มีการนิยมรับประทานอาหารเจ หรือมังสวิรัติกันมากขึ้น ทำให้น่าจะศึกษาถึง ผลของการับประทานอาหารปกติ กับการรับประทานอาหารมังสวิรัติ ในปี พ.ศ.2526 Rouse ได้ศึกษาให้คนที่มีความดันปกติได้รับประทานอาหารมังสวิรัติโดยบริโภคไข่และนมด้วย งดเฉพาะเนื้อสัตว์พบว่า ความดันลดลดง 7/3 มม.ปรอท นอกจากนี้ มีการศึกษาเกี่ยวกับการบริโภคไขมันชนิดที่เป็นไขมันจากพืช (Polyunsaturated fat) ในอัตราที่สูงกว่าไขมันสัตว์ (Saturated fat) ซึ่งต่อไปจะเรียกว่า "ไขมันผู้พิทักษ์" (Polyunsaturated fat) และ "ไขมันผู้ร้าย" (Saturated fat) พบว่าทำให้ความดันลดลงได้เมื่อรับประทานไปครบ 6 สัปดาห์ ดังนี้
|
ควรผ่อนคลายความเครียด การนั่งสมาธิ การปฏิบัติธรรม ลดความดันโลหิตได้ |
- คลายกล้ามเนื้อที่หัวคิ้ว - คลายกล้ามเนื้อที่แก้ม และที่รอบปาก - คลายกล้ามเนื้อที่คอ - คลายกล้ามเนื้อที่หัวไหล่ แขน แล้วเลื่อนลงจนถึงปลายนิ้ว - คลายกล้ามเนื้อที่หลัง ที่หน้าอก และที่เอว - คลายกล้ามเนื้อที่เชิงกราน ที่ขา ที่น่อง จนถึงปลายเท้า - หายใจเข้าออกสม่ำเสมอ แล้วตรวจสอบว่า ได้คลายกล้ามเนื้อที่พอเพียงหรือยัง ถ้าพอเพียงแล้วท่านจะรู้สึกสบาย" |
1) ต้องเงียบ 2) คลายกล้ามเนื้อ 3) คล้อยตามเสียงที่ได้ยินจากเทปหรือจากผู้พูด 4) กำหนดใจมาไว้ ณ จุดเดียว |
1.บริกรรมนิมิตร กำหนดใจลงที่เดียวกัน จะเป็นอะไรก็ได้ 1 ใน 40 สมถกัมมฐาน 2. บริกรรมภาวนา ท่องหรือนึกถึงคำพูดซ้ำซ้ำกันเรื่อยไป ส่วนมากมักจะเป้น 2-4 พยางค์ 3. กำหนดฐานที่ตั้งของใจ กลางลำตัวเหนือสะดือ 2 นิ้วมือ |
เมื่อครบเสร็จสำเร็จ จะได้ศูนย์และมีจิตเป็นสมาธิ ได้ทางสายเอก (เอกกตารมณ์)
เมื่อท่านปฏิบัติตามดังกล่าวแล้วตรวจเช็คความดันดูจะพบว่า ความดันของท่านลดลงอย่างดี
ถึงแม้ท่านที่รับประทานยาลดความดันอยู่ ถ้าได้ลองปฏิบัติตัวตามคำแนะนำเหล่านี้ท้ายทีสุด ยาลดความดันก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป
|
สมาคมโรคหลอดเลือดแดงแห่งประเทศไทย Thai Atherosclerosis Society
อาคารเฉลิมพระบารมี ๕๐ ปี ชั้น 5 โซนบี 2 ซอยศูนย์วิจัย ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ห้วยขวาง บางกะปิ กรุงเทพฯ 10320
0-2716-6043, 087-830-9306 0-2716-6044